เวียดนาม
การพัฒนากาสิโนค่อนข้างช้าและยาก เนื่องจากช่วงเดือนมกราคม 2017 ที่ผ่านมา เวียดนามได้ออกประกาศพระราชกฤษฎีกาว่าให้คนที่ถือพาสปอร์ตต่างชาติสามารถเข้ามาเล่นในกาสิโนและอีเกมมิ่งคลับของเวียดนามได้ ส่วนประชาชนในเวียดนามเอง กลับไม่ได้เป็นไปในเแนวทางเดียวกัน เพราะช่วงเดือนกรกฎาคม เหล่าผู้ประกอบการธุรกิจนี้ไม่อนุญาตให้เข้าไปเล่น ทั้งนี้เพราะไม่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของเวียดนาม จากเดิมนั้นประชาชนสามารถเข้าไปเล่นได้
ขณะเดียวกันเหล่านักลงทุนก็เริ่มพาเหรดเข้ามาก่อนที่พระราชกฤษฎีกาประกาศออกมาเสียอีก อย่างโปรเจคขนาดใหญ่หลายโครงการเข้ามา เช่น โครงการ The Grand Ho Tram Strip ที่เปิดให้บริการตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2013 มีโรงแรมขนาด 541 ห้อง และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ หรือโครงการ An 18-hole golf course ที่เปิดให้บริการในปี 2015 ขณะที่ปี 2017 The Beach Club ที่เคยลงทุนไปแล้วมีห้องพักราว 559 ห้อง และได้ออกประกาศถึงแผนการลงทุนเฟส 3 แต่ต้องพับโครงการไป
ทำให้เวียดนามถูกจัดอันดับให้เป็นที่ท้ายๆ ของเอเชีย ในแง่ของตัวเลขรายได้จากเกมการพนัน (gross gaming revenue (GGR) ที่นับว่าเป็นเรื่องถูกกฎหมาย และจากรายงานของรัฐบาล พบว่ามีรายได้จากส่วนนี้เพียง 62.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น จากมูลค่าทั่วโลกในปีเดียวกันสูงถึง 450 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งนักวิชาการและวิเคราะห์ได้คาดการณ์ว่าหากมีการเปิดกาสิโนเพิ่มขึ้น เวียดนามจะมีรายได้จากอุตสาหกรรมนี้ถึง 3-6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ปัจจุบันเวียดนามมีกาสิโนที่ได้รับใบอนุญาตทั้งหมด 7 แห่ง เช่น Ho Tram Resort Casino ในจังหวัดบ่าเหรี่ยะ – หวุงเต่า, Phoenix International Club จังหวัดบั๊กนิญ เป็นต้น
และยังมีคลับเกมอิเล็กทรอนิกส์อีกราว 23 แห่ง โดยจะอนุญาตให้เฉพาะคนที่ถือพาสฟอร์ตจากต่างประเทศเข้ามาเท่านั้น ทำให้ประชาชนชาวเวียดนามไม่มีแหล่งเล่นการพนันภายในประเทศ จึงต้องเดินทางไปเล่นประเทศอื่นแทน ซึ่งส่วนใหญ่มักจะไปกาสิโนประเทศใกล้เคียง เช่น กัมพูชา หรือลาว ขณะที่กลุ่มที่มีรายได้ค่อนข้างสูง มักจะเดินทางไปเล่นการพนันที่เกาะเชจู เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และมาเก๊า