กลายเป็นประเด็น “ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์” อีกครั้ง กรณี “บ่อนพนัน” กับเมืองไทย ที่เรียกว่าทะลุกลางปล้องขึ้นมาในภาวะวิกฤต “โควิด-19” หลังจากพบว่าบ่อนในหลายพื้นที่กลายเป็นแหล่งแพร่กระจายเชื้อไวรัสระลอกใหม่
joker123
แม้ “บิ๊กรัฐบาล” จะทำหูตาฝ้าฟาง “ไม่รู้ ไม่เห็น” ว่ามีบ่อนการพนัน แต่ประจักษ์พยานก็ชัดเจนแจ่มแจ้ง จาก “ไทม์ไลน์” ของผู้ติดเชื้อหลายรายในหลายพื้นที่ที่ล้วนแล้วแต่วนเวียนอยู่กับ “บ่อนพนัน” แทบทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นบ่อนใหญ่ บ่อนเล็ก บ่อนวิ่ง บ่อนไก่ บ่อนงานศพ ทั้งในพื้นที่ภูธร กระทั่งใน กทม.เอง
ตามข้อมูลล่าสุด เฉพาะที่ “บ่อนระยอง” มีผู้เกี่ยวข้องติดเชื้อโควิด-19 ไปแล้วมากกว่า 200 ราย และที่มาแรงแซง “บ่อนไก่อ่างทอง” ที่พุ่งพรวดไปแล้วมากกว่า 80 ราย ยังไม่รวม “บ่อนปิ่นเกล้า” ใน กทม. ที่ทั้ง ศ.นพ.โอภาส พุทธเจริญ หัวหน้าศูนย์โรคอุบัติใหม่ทางคลินิก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และนายจีระเกียรติ ภูมิสวัสดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรีได้ ยืนยันตรงกันกันว่ามีผู้ติดเชื้อมาจากบ่อนใน กทม.จริง
แถม “สามีภรรยา” ชาวเมืองกาญจน์ก็ถูกระบุชัดเจนจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาญจนบุรีว่า ทำงานใน “บ่อนย่านปิ่นเกล้า”
แต่ก็พิลึกอย่างเหลือเชื่อ เมื่อมีเบาะแสชี้เป้าทีไร เวลาเจ้าหน้าที่ตำรวจไปลงพื้นที่ตรวจสอบ กลับพบว่าสถานที่ที่ว่ากันว่าเป็นบ่อนพนันนั้นกลับกลายเป็นโกดังร้างติดแอร์ กระทั่งห้องประชุมสัมมนา รวมไปถึงกล้องวงจรปิดที่หากติดอยู่ก็ไม่ได้เปิดใช้การ หรือทิ้งร่องรอยงัดแงะกล้องอย่างเหลือเชื่อ
จนถูกค่อนแคะว่าเป็นคุณูปการของเจ้าไวร้ายไวรัสโควิด-19 ที่จับบ่อนเก่งกว่า “ตำรวจไทย” เสียอีก
ช่วงเดียวกันยังมีตลกร้ายเป็นภาพไวรัล เมื่อผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์ภาพ “โต๊ะเล่นพนัน” ตกอยู่กลางถนนย่านลาดกระบัง ที่ว่าเป็นโต๊ะเล่นพนันก็สังเกตได้จากลายตารางหน้าโต๊ะที่รู้กันว่าใช้เพื่อวัตถุประสงค์ใด
สล็อต
กระแทกหน้า “บิ๊กรัฐบาล” ที่หล่นวาจาว่า “ไม่มีบ่อน” ไปตรงๆ กระทั่ง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ที่ถูกสื่อทำเนียบตั้งฉายา “ป้อมไม่รู้โรย” ก็ตะแบงเสียงดังว่าใน กทม.ไม่มีบ่อน ยังกลืนน้ำลายตัวเองให้หลังวันเดียวออกมายืดอกยอมรับว่า มีบ่อนพนันอยู่ในพื้นที่ กทม.อยู่จริง
ทำเอาตามคาถาสามัญประจำตัวผู้มีอำนาจทุกยุค “ไม่มีบ่อน ไม่มีซ่อง ไม่มีส่วย” เสื่อม ชนิดที่ “เด็กอมมือ” ยังไม่เชื่อ
ผู้คนยังไม่หลงลืมกรณี “บ่อนพระราม 3” ไทย ที่เกิดเหตุยิงกันจนมีผู้เสียชีวิต 4 รายเมื่อไม่กี่เดือนก่อน แต่แล้วเรื่องราวก็เงียบไปกับสายลม
และเมื่อโควิด-19 ทำให้ยอดภูเขาน้ำแข็งโผล่อีกครั้ง จนทำท่าจะปิด “ผลประโยชน์มหาศาล” ไม่มิด ต้องร้อนรน “แก้เกี้ยว” ด้วยการส่งกำลังเข้าจับกุมบ่อนการพนัน “เป็นพิธี” ตลอดจนตั้งกรรมการสอบสวนยุบยับ ทั้งระดับรัฐบาลหรือของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ผู้รับผิดชอบโดยตรง
ตามมาด้วยคำสั่งย้ายนายตำรวจที่ดูแลพื้นที่ ที่รอบนี้ไต่ระดับขึ้นมาจากระดับผู้กำกับ ขึ้นมาที่ผู้การจังหวัด กระทั่งผู้บัญชาการภาค ก็ไม่รอด
งวดนี้ “บิ๊กปั๊ด” พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ที่กำลังเมาหมัดอย่างหนัก ต้องกัดฟันเซ็นคำสั่งเด้ง พล.ต.ท.วีระ จิรวีระ ผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 2 (ผบช.ภ.2) ปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการ สตช. รับผิดชอบกรณีบ่อนระบาดในพื้นที่ภาคตะวันออก ชลบุรี ระยอง จันทบุรี จรดไปถึง จ.ตราด
เรื่องพรรค์นี้จะโยนบาปแค่ระดับ “พื้นที่” ก็ไม่ถูกซะทีเดียว ผู้มีอำนาจสูงสุดขององค์กรตำรวจอย่าง “บิ๊กปั๊ด” ก็ถูกตั้งคำถามถึงความรับผิดชอบเช่นกัน
หรือกระทั่ง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็คงปฏิเสธข้อหา “ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่เป็นใจ” ลำบาก ด้วยบ่อนพนันขนาดใหญ่หลายแห่งถึงขั้นแอบอ้างกันโจ๋งครึ้มว่า “บ่อนนายกฯ” เลยทีเดียว
กระทั่งเจ้าตัวต้องออกมายืนยันว่า “ผมยืนยันว่าผมไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าเราโทษกันไปมาโดยเราไม่มองว่าจะช่วยกันอย่างไร มันก็หาทางออกไม่ได้อยู่ดี ฉะนั้นอันนี้ขอฝากไว้ด้วย ปัญหาเหล่านี้เหมือนหลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นในประเทศไทยที่มีมายาวนาน ทั้งเรื่องยาเสพติด การตัดไม้ทำลายป่า และอีกเยอะแยะที่เป็นปัญหาของบ้านเรา เราต้องหาวิธีการแก้ปัญหาที่เหมาะสม ดำเนินการบนพื้นฐานของกฎหมาย และดำเนินการอย่างระมัดระวัง เรามีทั้งคนดีและคนไม่ดีอยู่ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ ผมก็รังเกียจคนเหล่านี้ ก็ต้องช่วยกัน มีอะไรก็แจ้งมา ผมเองยืนยันว่าไม่เคยเรียกรับผลประโยชน์ใดๆ จากใครก็ตาม ฉะนั้น ถ้าใครจะเอาไปอ้างสอบถามผมมาก่อน อย่าไปเชื่อเขา และบางอย่างผมก็แปลกใจว่าทำไมมาเกี่ยวข้องก็ไม่รู้เหมือนกัน ฉะนั้น ขอฝากด้วยสำหรับผู้ที่อ้างอะไรต่างๆ เลิกได้แล้ว ไม่ว่าใครก็ตามที่อ้างว่าเป็นเพื่อนผม อ้างเป็นญาติผม อ้างอะไรก็แล้วแต่ ผมยืนยันว่าผมทำเพื่อประชาชน ไม่ได้ทำเพื่อส่วนตัวหรือเพื่อญาติพี่น้องใดๆ ทั้งสิ้น อันนี้ขอให้ทุกคนได้เข้าใจซึ่งกันและกัน”
เช่นเดียวกับ “บิ๊กป้อม-ประวิตร” หรือ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ต้องตกเป็น “จำเลยร่วม” ฐานะกำกับดูแลความมั่นคง ทั้งทหาร-ตำรวจ หรือฝ่ายพลเรือน อย่าง “กรมการปกครอง” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เรียกได้ว่าไวรัสโควิด-19 ทั้ง 2 ระลอก ได้ฉายภาพประจาน “วงจรอุบาทว์” ที่เกี่ยวพันกับผลประโยชน์มหาศาลที่เรียกว่า “ส่วย” ขึ้นมาอีกครั้ง
สล็อตออนไลน์
ไม่ว่าจะเป็นกรณีขบวนการลักลอบขนแรงงานเข้าประเทศที่ทำเอาตลาดที่ จ.สมุทรสาคร เป็น “อู่ฮั่น 2” ป่านนี้ยังไล่ตรวจเชื้อกันไม่จบสิ้น และเชื่อว่าตัวเลขผู้ติดชื้อที่รายงานออกมา “ต่ำกว่าความเป็นจริง” ตามข้อมูลที่ว่า มีแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านลักลอบเข้าประเทศโดยไม่ผ่านการคัดกรองโรค ถึงกว่า 2 แสนชีวิต
หรือย้อนไปกับสนามมวยลุมพินีที่แหกกฎเกณฑ์จัดชกมวยนัดพิเศษ ที่ไม่พ้น “พนันขันต่อ” จนเกิดการแพร่ระบาดเป็นวงกว้างเมื่อต้นปีที่แล้ว จน พล.ต.ราชิต อรุณรังษี นายสนามมวย ถูกเด้ง และถูกสอบสวน แต่ก็ได้รับการโยกย้ายกลับที่เดิมอย่างเงียบๆ
มาหนักหนาสาหัสสุดกับกรณีบ่อนในหลายจังหวัด ที่กลายเป็นแหล่งแพร่ระบาดของโรคร้าย ที่แม้จะพยายามปกปิดไทม์ไลน์เกี่ยวข้องกับบ่อนพนันอย่างไรก็ปิดไม่มิด
กลายเป็นว่า วงจรอุบาทว์ที่เรียกว่า “ส่วย” ทำให้ “คนบริสุทธิ์” ทั้งประเทศต้องเดือดร้อนจากทั้งความเสี่ยงติดเชื้อโควิด-19 ตลอดจนปัญหาเศรษฐกิจที่ต้องชะงักงันอีกครั้ง
การแก้ไขปัญหาโดยการโยกย้ายข้าราชการ หรือตั้งกรรมการสอบสวน ก็แค่ลูกไม้ “แก้ผ้าเอาหน้ารอด” เท่านั้น
เห็นๆ กันแล้วไม่ว่าจะเป็นกรณีสนามมวยลุมพินี ที่พอเรื่องเงียบ ก็งุบงิบย้าย “พล.ต.ราชิต” กลับไปที่เดิม
หรือชัดๆ กับ “บ่อนมาบตาพุด” เมื่อเดือน ส.ค.ปีกลาย ที่เกิดรายการ “ผิดคิว” เมื่อกรณีชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครอง (ชปพ.ปค.) ร่วมกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) บุกทลายบ่อน “เสือ-มังกร” ในพื้นที่มาบตาพุด จ.ระยอง ครั้งนั้นก็มีคำสั่งเด้ง 5 เสือ สภ.มาบตาพุด รวมไปถึงผู้การ-รองผู้การฯระยอง เข้ากรุ พร้อมตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง เผลอแพลบเดียวก็คืนตำแหน่งให้ และไม่มีทวงถามหาความกันอีก
ว่ากันว่าปฏิบัติการครั้งนั้นทำเอา “บิ๊กรัฐบาล” ควันออกหู ไม่พอใจการทำงานของดีเอสไอ ถึงกับยกหูถาม สมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ว่า “เดี๋ยวนี้ ดีเอสไอ จับบ่อนแล้วหรือ” ถอดรหัสได้ว่า “ทำเกินหน้าที่” เป็นผลให้ดีเอสไอมีคำสั่งยุบคณะพนักงานสืบสวนที่แต่งตั้งเพื่อปฏิบัติการพิเศษด้านต่างๆ จำนวน 6 ชุด แทบจะทันทีทันใด
จาก “บ่อนมาบตาพุด” ในวันนั้น เชื่อมโยงมาถึง “บ่อนระยอง” ในวันนี้ ซึ่งทั้ง 2 บ่อนอยู่ในเครือข่าย “RJ” ที่เป็นของ “หลงจู๊สมชาย” ผู้กว้างขวางใน จ.ระยอง และเป็นเครือข่าย “RJ” ที่มียันต์สัญลักษณ์ติดตามตู้ม้า-ตู้สลอต ลามจากภาคตะวันออกลามไปถึงภาคอีสาน
ครั้งหนึ่งเคยมีการตั้งกระทู้ถามในสภาฯ แต่เรื่องก็เงียบสงัด
แม้จะถูกขุดชื่อขึ้นมาอยู่กลางสปอตไลท์ตั้งแต่รอบบ่อนมาบตาพุด แต่ “หลงจู๊สมชาย” ก็ยังไม่สะทกสะท้าน ขยายอาณาจักรกินพื้นที่ทั้งภาคตะวันออกไล่ตั้งแต่ จ.ชลบุรี ไปจรด จ.ตราด มีบ่อนใหญ่น้อยผุดขึ้นราวดอกเห็ด ถึงขนาดถูกยกให้เป็น “มาเก๊าภาคตะวันออก”
จนมาถึงการระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 ที่เริ่มขึ้นตั้งแต่กลางเดือน ธ.ค. 63 ที่ประจาน “ขบวนการสมรู้ร่วมคิด” ที่ทำให้มีบ่อนการพนันผิดกฎหมายอีกครั้ง
“บ่อนระยอง” ที่สามารถค้นหาพิกัดในกูเกิลแมปได้ แต่ตำรวจท้องที่ไม่รู้เรื่อง ถูกระบุว่าเป็น “ต้นเหตุ” ของการติดเชื้อในพื้นที่ ก่อนกระจายไปยังบ่อนอื่นๆในภูมิภาค
การที่บ่อนใหญ่น้อยผุดขึ้นราวดอกเห็ดในภาคตะวันออกนั้น ก็ต้องเกี่ยวโยงกับ “ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2” หรือ ผบช.ภ.2 ในฐานะผู้รับผิดชอบดูแลพื้นที่ทั้งหมดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
บางยุคถึงกับมีนโยบาย 1 อำเภอ 1 บ่อนเลยด้วยซ้ำ
ไม่เท่านั้นการแต่งตั้งโยกย้ายระดับผู้กำกับรอบล่าสุด ยังมีการปรับเปลี่ยนผู้กำกับสถานีตำรวจภูธรในพื้นที่ภาคตะวันออกอย่าง “ผิดปกติ” โดย จ.ระยอง มีการเปลี่ยนผู้กำกับถึง 14 โรงพัก และ จ.ชลบุรี เปลี่ยนไปถึงกว่า 8 โรงพัก
jumboslot
จนถูกมองว่ากำลังมีการวาง “งานใหญ่”
เรื่องมาแดงจากการแพร่ระบาดโควิด-19 และบ่อนพนันผิดกฎหมายตั้งแต่เมืองชลฯ ระยอง เมืองจันท์ ยาวไปถึงตราด เป็นแหล่งแพร่เชื้อที่สำคัญ ฉายภาพบ่อนการพนันเต็มพื้นที่ ถึงขั้นถูกยกให้เป็น “มาเก๊าตะวันออก”
และในที่สุดวงจรที่สมบูรณ์แบบก็ย้อนกลับมาทำร้ายประเทศ เป็นไม่เพียงเป็นแหล่งอบายมุขมอมเมาประชาชนเท่านั้น ยังกลายมาเป็นแหล่งแพร่เชื้อโควิด-19 ทำเอาเดือดร้อนกันทั้งประเทศ เป็น “บ่อนทำลายชาติ” โดยแท้
สิ่งเหล่านี้ย่อมทำให้สังคมเชื่อกันว่า ผลประโยชน์ของบ่อนกับเจ้าหน้าที่รัฐนั้น มีเอี่ยวเกี่ยวพันกันมานาน ล้วนพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะสีเขียว หรือ สีกากี อยู่ในวงจรอุบาทว์ที่ฝังรากลึกมานาน
หากเจ้าหน้าที่รัฐไม่รู้เห็นเป็นใจ หรี่ตาให้ข้างหนึ่ง บ่อนพนันย่อมไม่มีทางเปิดได้ ส่วยที่ส่งก็ส่งกันเป็นทอดๆ จากล่างขึ้นไประดับบน เพราะการเปิดบ่อนนั้น เจ้าของบ่อนต้องเคลียร์เงินตั้งแต่ตำรวจ และอาจไปจนถึงผู้ใหญ่ในรัฐบาล ซึ่งช่วงไหนที่รัฐบาลจริงจัง ก็จะปิดบ่อนชั่วคราว แต่ช่วงไหนที่รัฐบาลไม่เข้มงวด ให้ไฟเขียว ก็จะมีบ่อนขึ้นมาเป็นดอกเห็ด ทั้งบ่อนถาวร และบ่อนวิ่ง และถ้าเจ้าของบ่อนเงินไม่ถึง เคลียร์ไม่ครบ ก็จะมีข่าวบุกทลายบ่อนให้เห็นเป็นระยะๆ ซึ่งเมื่อเคลียร์จบ ก็สามารถเปิดต่อได้ เป็นวัฏจักรวงจรอุบาทว์ที่ดำรงอยู่คู่กับสังคมไทยมานาน
และไม่ว่าจะผ่านไปกี่รัฐบาล ก็ไม่เคยแก้ไขบ่อนการพนันได้
พื้นที่ที่มีบ่อนทำเงินสูงนอกจาก กทม. ว่ากันว่า ระยอง ชลบุรี เมื่อถึงฤดูโยกย้ายก็วิ่งเต้นซื้อขายตำแหน่งกันมือหนัก ในวงราชการรู้ๆ กัน เพียงเพื่อให้ได้อยู่ในศูนย์กลางของผลประโยชน์บ่อน และแหล่งอบายมุข จะจ่ายหลักหลายสิบล้าน หรือร้อยล้านก็คุ้ม
ทั้งนี้ ข้อมูลของศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน (Center for Gambling Studies) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประมาณการว่า แต่ละปีมีเงินหมุนเวียนในธุรกิจการพนันทุกประเภทมากกว่า 357,275 ล้านบาทเลยทีเดียว
[NPC5]
นอกจากนั้น เมื่อไปตรวจสอบข้อมูลจากผลการวิจัยเรื่อง “การศึกษาสถานการณ์ พฤติกรรม และผลกระทบการพนัน ในประเทศไทย ประจำปี 2562 : สถานการณ์สำคัญรายจังหวัด” ภายใต้ความร่วมมือระหว่างศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กับศูนย์วิจัยเพื่อการพัฒนาสังคมและธุรกิจ (SAB) พบว่า จังหวัดที่มีสัดส่วนผู้มีประสบการณ์เล่นพนันสูงสุด 10 อันดับ เป็นจังหวัดในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และภาคกลางพื้นที่ละ 3 จังหวัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ ภาคละ 2 จังหวัด และภาคเหนือ 1 จังหวัดโดยมีสัดส่วนอยู่ระหว่างร้อยละ 80.4 ถึง 83.3
สำหรับ 10 อันดับจังหวัดที่มีสัดส่วนสูงที่สุดเรียงตามลำดับประกอบด้วย ชลบุรี ร้อยละ 83.3 กรุงเทพมหานคร ร้อยละ 83.1 ภูเก็ต ร้อยละ 82.4 นครปฐม ร้อยละ 81.7 เชียงใหม่ ร้อยละ 81.5 สมุทรปราการ ร้อยละ 81.4 ระนอง ร้อยละ 81.1 นครราชสีมา ร้อยละ 81.0 ขอนแก่น ร้อยละ 80.5 และนนทบุรีกับระยองเท่ากัน คือ ร้อยละ 80.4
และเมื่อลงลึกไปที่ “การเล่นพนันในบ่อน” ก็พบว่า จังหวัดที่มีสัดส่วนสูงสุด 10 อันดับ เป็นจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมากที่สุด 5 จังหวัด รองลงมาภาคกลางและใต้ภาคละ 2 จังหวัด กรุงเทพฯ ปริมณฑล 1 จังหวัด โดยมีสัดส่วนนักพนันอยู่ระหว่างร้อยละ 19.6 ถึง 25.2 จังหวัดที่มีสัดส่วนสูงที่สุดเรียงตามลำดับ ประกอบด้วย บึงกาฬ ร้อยละ 25.2 สมุทรสงคราม ร้อยละ 24.3 พัทลุง ร้อยละ 24.2 หนองบัวลำภูร้อยละ 23.9 หนองคาย ร้อยละ 22.3 นครศรีธรรมราช ร้อยละ 22.2 สมุทรสาคร ร้อยละ 21.3 อุบลราชธานี ร้อยละ 20.2 นนทบุรีและมหาสารคามเท่ากันคือ ร้อยละ 19.6
ผลสำรวจยังพบว่าวงเงินหมุนเวียนในการเล่นพนันในบ่อนของทั้ง 10 จังหวัด รวมกันอยู่ที่ 27.928 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 22.8 ของวงเงินเล่นพนันในบ่อนทั้งหมด โดยอุบลราชธานีเป็นจังหวัดที่มีวงเงินเล่นพนันในบ่อนสูงที่สุด คือ 8.279 พันล้านบาท รองลงมาคือจังหวัดนนทบุรี 6.050 พันล้านบาท และนครศรีธรรมราช 3.554 พันล้านบาท
ถามว่า “ผู้มีอำนาจ” จะจัดการเรื่องนี้อย่างไร ครั้นจะแก้ผ้าเอาหน้ารอดรอเรื่องเงียบเช่นเดียวคงไม่สวย เพราะความเสียหายของชาติเกินกว่า “ส่วย” ที่ร่ำรวยกันอยู่ในหมู่ “ผู้มีอำนาจ”
และขอตั้งคำถามถึงการแก้ไขปัญหา “ระยะยาว” เกี่ยวกับการลักลอบเปิดบ่อนและวงจร “ส่วย” อุบาทว์ ที่กลายเป็นแหล่งอบายมุขสร้างความเสียหายให้กับประเทศแบบประเมินค่าไม่ได้
ในเมื่อไม่สามารถปราบปรามการลักลอบเล่นการพนัน อีกทั้งยังปล่อยให้เติบโตอย่างควบคุมไม่ได้เช่นนี้ ไอเดียการผลักดัน “บ่อนถูกกฎหมาย” จึงควรปัดฝุ่นมาพูดคุยกันอีกครั้ง
บ่อนถูกกฎหมายที่ว่า มิใช่แค่ “กาสิโน” หากแต่รวมไปถึง “บ่อนระดับพื้นที่” ซึ่งเป็นที่รับรู้กันว่ามี “ทุกจังหวัด” ใหญ่บ้างเล็กบ้าง
อาจจะถึงเวลาต้องเริ่ม “คิดบวก” กับ “ธุรกิจสีเทา” ถึงการเก็บภาษีนำเงินนอกระบบเข้ารัฐอย่างถูกกฎหมาย ดีกว่าปล่อยให้เงินรั่วไหลเข้ากระเป๋า “ตำรวจ(บางคน)” หรือผู้มีอำนาจรัฐบางคน โดยที่ประเทศชาติมิได้อะไรกลับคืนมา เพราะไม่เคยกวาดล้างให้หมดไปจากสังคมไทยได้ ด้วยมี “ส่วย” ขวางคออยู่
ไม่นับรวมถึงกาสิโนตามชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน ที่ก่อนยุดโควิคระบาด “ลูกค้าหลัก” ก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนไทยทั้งนั้น
ดังนั้น ทางออกที่ดีที่สุดอาจเป็นการดึง “ธุรกิจใต้ดิน” ไม่ว่าจะรูปแบบบ่อนใหญ่ บ่อนวิ่ง บ่อนงานศพ ขึ้นมา “บนดิน” มีการขออนุญาตเก็บค่าธรรมเนียม-ภาษีอย่างถูกต้อง
ในเมื่อปราบปรามไม่รู้จบสิ้น ก็ถึงเวลาต้องยอมรับความจริง เลิก “หลอกตัวเอง” เสียทีด้วยข้ออ้างเดิมๆ เพราะรู้ๆ กันอยู่ว่า คนไทยจำนวนไม่น้อยชอบเล่นการพนัน แม้ในยามที่โควิด-19 ระบาด ก็ไม่วายเว้นที่จะแอบไปเล่นกัน
ปฏิบัติการปราบปรามกวาดล้างรอบนี้อาจทำให้บ่อนจำต้องเลิกราไปชั่วคราว แต่เชื่อเถอะว่า พอเรื่องซาลงไป บ่อนก็จะกลับมาเปิดให้บริการเป็นดอกเห็นเหมือนเดิมอีกครั้ง
ดึง “ธุรกิจใต้ดิน” ขึ้น “บนดิน” ตัดวงจร “ส่วย” อุบาทว์ ที่เข้ากระเป๋าคนไม่กี่คนดีกว่าไหม?!
ฝากไว้เป็นคำถามให้คนไทยช่วยกันคิด.